Blog

  • ระทึกกลางสุขุมวิท! ไรเดอร์มีปากเสียงกับคนขับเก๋ง ถูกชก-ขับชนอัดเสาดับสลด

    ไรเดอร์มีปากเสียงกับคนขับเก๋ง ก่อนที่จะถูกชกและซิ่งรถชนลอยติดเสาดับ ย่านสุขุมวิท เมียใจสลาย สูญเสียเสาหลักครอบครัว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ม.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น. ร.ต.ท.จรินทร์ รัตนสุวรรณชัย รองสารวัตรสอบสวน สน.ลุมพินี และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรับแจ้งเหตุ รถเฉี่ยวชนบริเวณริมทางเท้าสุขุมวิท 10 เจ้าหน้าที่จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุ พบร่างคนขับไรเดอร์ สวมเสื้อแขนยาวสีชมพู และกางเกงยีนส์ถูกชน ร่างกระแทกเสากล้องวงจรปิด โดยสภาพร่างกายตัวบิดงอ ใกล้กับบริเวณที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสภาพเละ

    ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เกิดเหตุและได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายกิตติภูมิ อายุ 48 ปี ไรเดอร์ผู้เห็นเหตุการณ์ เปิดเผยว่า ตนเห็นไรเดอร์และรถเก๋งคันดังกล่าวจอดอยู่เลนขวามีปากเสียงกันอยู่ คาดว่าน่าจะมีปัญหาการเฉี่ยวชนกันเกิดขึ้น

    ขณะนั้นรถเก๋งดังกล่าว ได้พยายามหลบหนี โดยไรเดอร์ได้ยืนขวางรถไว้ แต่รถเก๋งคันดังกล่าวพยายามจะขับหนี ไรเดอร์คนดังกล่าวจึงได้ทุบรถ และคนขับรถเก๋งคันดังกล่าวได้เปิดประตูรถออกมาและทำร้ายไรเดอร์ ก่อนที่ไรเดอร์จะขึ้นจักรยานยนต์ไฟฟ้าขับรถหนี โดยมีรถเก๋งขณะดังกล่าวขับไล่ตามไปชนจากเลนขวาไปถึงเลนซ้ายสุด ทำให้ร่างของไรเดอร์คนดังกล่าวกระเด็นลอยไปกระแทกกับเสาไฟ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

    ต่อมาผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสพูดคุยกับ นางสาวสายใจ อายุ 39 ปี ภรรยาของไรเดอร์คนดังกล่าว เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าตอนยังคุยกับสามีอยู่เลยเรื่องค่าชุดของลูก โดยสามียังบอกว่าเดี๋ยวจะไปจ่ายเงินให้กับลูกอยู่เลย

    โดยตอนคบหากับสามีมามากกว่า 24 ปี และมีลูกด้วยกัน 4 คน ซึ่งลูกแต่ละคนก็ยังศึกษาเล่าเรียนอยู่ โดยคนโตเพิ่งจะจบ ม.6 กำลังจะเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย สามีจึงต้องเร่งหาเงินเพื่อมาจุนเจือค่าใช้จ่ายในบ้านและค่าเทอมของลูก กระทั่งมาเกิดเหตุสลดดังกล่าว ตนรู้สึกช็อกมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    ทั้งนี้ ตนก็ยังไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรต่อไปเมื่อสูญเสียเสาหลัก เพราะว่าตนก็ไม่ได้มีรายได้ สามีเป็นคนเดียวที่หาเลี้ยงครอบครัว และอยากฝากบอกไปถึงคนที่ขับชนว่าทำไมถึงใจร้ายขนาดนี้ ไม่คิดบ้างเหรอว่าคนอื่นต้องมีครอบครัวที่ต้องดูแล และมีครอบครัวที่รอเขา มันหนักหนาถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยเหรอ ตนขอยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

    ผู้สื่อข่าวยังได้รับรายงานว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวรถเก๋งสีขาว ยี่ห้อโตโยต้า อัลติส หมายเลขทะเบียน 6583 กรุงเทพมหานคร ได้ขับหนีไปจนมุมที่ซอยสุขุมวิท 4 ก่อนจะถูกควบคุมตัวมาที่ สน.ลุมพินี ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนและสอบสวน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

  • สาวนักจับชู้มืออาชีพ จัดอันดับผู้ชาย 4 อาชีพ “นอกใจมากที่สุด” จากการทดสอบ 3 ปี

    สาวนักจับชู้มืออาชีพ จัดอันดับ 4 อาชีพ “นอกใจมากที่สุด” จากการทดสอบกว่า 5,000 คน ภายใน 3 ปี

    เว็บไซต์ New York Post รายงานเรื่องราวของ เมเดลีน สมิธ หญิงชาวอเมริกันวัย 32 ปีจากลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะ “นักจับชู้มืออาชีพ” หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบความซื่อสัตย์ของชายหนุ่มต่อคู่รัก ด้วยประสบการณ์ตรวจสอบผู้ชายมากกว่าหลายพันราย เธอเผยว่า

    “แค่ดูโปรไฟล์ของผู้ชายบางคน ฉันก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเขามีแนวโน้มจะนอกใจหรือไม่”

    เมเดลีน มีผู้ติดตามใน TikTok มากกว่า 224,000 คน ซึ่งเธอเปิดบริการให้ผู้หญิงที่สงสัยในความซื่อสัตย์ของคนรักเข้ามาว่าจ้าง ด้วยค่าบริการสูงสุด 65 ดอลลาร์ (ราว 2,200 บาท) ต่อครั้ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เธอทดสอบผู้ชายมาแล้วกว่า 5,000 ราย และพบกรณีการนอกใจหลายร้อยครั้ง พร้อมจัดอันดับอาชีพที่นอกใจมากที่สุด 4 อันดับแรก ดังนี้

    1. ตำรวจและสายงานบริการ

    เมเดลีนกล่าวว่า “ฉันจับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นอกใจได้มากกว่า 100 คน ซึ่งจากประสบการณ์ของฉัน อาชีพนี้มีแนวโน้มการนอกใจสูงที่สุด”

    นอกจากนี้ อาชีพในสายบริการ เช่น เจ้าหน้าที่ดับเพลิง หน่วยฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ทหาร ก็มีแนวโน้มสูงเช่นกัน เธออธิบายว่า “พวกเขามักมองหาโอกาสอยู่เสมอ”

    2. ผู้ชื่นชอบการออกกำลังกาย

    ผู้ชายที่ชอบเล่นฟิตเนสและโพสต์ภาพโชว์หุ่นหรือกล้ามเนื้อเป็นประจำ มักมีแนวโน้มจะนอกใจมากเป็นอันดับรองลงมา เมเดลีนระบุว่า “การถ่ายรูปในยิมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่หากมันกลายเป็นตัวตนหลักของพวกเขา มันคือสัญญาณสำคัญ”

    3. นักธุรกิจและพนักงานขาย

    กลุ่มนี้มักต้องเดินทางบ่อย ซึ่งสร้างโอกาสให้นอกใจได้ง่าย เมเดลีนกล่าวว่า “พวกเขาสามารถแยกชีวิตครอบครัวและชีวิตการเดินทางออกจากกันได้ และมักจะใช้ข้ออ้างเรื่องการทำงาน เช่น การทานข้าวกับลูกค้าหรือพาลูกค้าไปสถานบันเทิง”

    4. ทนายความ

    แม้จะเป็นอาชีพที่ดูจริงจังและระมัดระวังตัว แต่เมเดลีนชี้ว่า ทนายความหลายคนมีแนวคิด “ทำงานหนัก เที่ยวหนัก” ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการนอกใจ

    อาชีพที่นอกใจน้อยที่สุด

    จากการจัดอันดับของเมเดลีน แพทย์เป็นอาชีพที่มีแนวโน้มนอกใจน้อยที่สุด เนื่องจากตารางการทำงานที่หนักหน่วง แต่หากมีการนอกใจ มักเกิดกับเพื่อนร่วมงานในสถานพยาบาลเดียวกัน

    ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังได้รับการยืนยันจากผลสำรวจของ Illicit Encounters เว็บไซต์หาคู่ของผู้แต่งงานแล้วในปี 2024 ที่เผยว่า ตำรวจ เป็นกลุ่มอาชีพที่นอกใจมากที่สุด โดย 63% ของตำรวจที่ร่วมตอบแบบสอบถามยอมรับว่าเคยนอกใจ ตามมาด้วย ผู้รับเหมาก่อสร้าง (42%), พนักงานขาย (37%) และ เทรนเนอร์ส่วนตัว (31%)

    เมเดลีนยังกล่าวเสริมว่า “การนอกใจส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้คนไม่มีความอดทนพอที่จะค้นหาคู่รักที่เหมาะสม หรือแก้ไขปัญหาภายในตัวเอง”

    อย่างไรก็ดี เมเดลีนย้ำว่าข้อมูลนี้เป็นเพียงประสบการณ์การณ์ของเธอเท่านั้น แต่ทั้งนี้ ตามรายงานของ Illicit Encounters เว็บไซต์ชื่อดังสำหรับบริการหาคู่ของผู้ที่แต่งงานแล้วอยากมีชู้ ได้ยืนยันข้อมูลตรงกับของเมเดลีน โดยเผยว่า ตำรวจคือกลุ่มอาชีพที่นอกใจมากที่สุด ตามผลสำรวจของเว็บไซต์นี้ ได้จัดอันดับอาชีพที่มีการนอกใจสูงที่สุดประจำปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนอกใจเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ร้อยละ 63 รองลงมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง อยู่ในอันดับ 2 คิดเป็นร้อยละ 42 ตามมาด้วยพนักงานขายร้อยละ 37 และเทรนเนอร์ส่วนตัวร้อยละ 31

  • พยาบาลวัย 39 รู้ตัวไวว่าเป็น “มะเร็งตับ” เพราะไม่เพิกเฉย 4 สัญญาณเตือนที่เจอ

    พยาบาลวัย 39 ปี ได้รับการวินิจฉัยเป็น “มะเร็งตับ” หลังจากสังเกตเห็น 4 สัญญาณเตือนสำคัญ ที่หลายคนมักมองข้าม

    เว็บไซต์ Daily Express รายงานว่า มาริซซา อันโตนิโอ พยาบาล ก้อนเนื้อขนาด 19 เซนติเมตร เมื่อเธออายุเพียง 39 ปี ขณะที่ลูกของเธออายุแค่ 19 เดือน เธอตัดสินใจแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองเพื่อเตือนผู้อื่นเกี่ยวกับสัญญาณเตือนของมะเร็งตับ ซึ่งทำให้เธอตัดสินใจไปพบแพทย์ทันที

    เริ่มแรกมาริซซาคิดว่าอาการปวดด้านขวา อ่อนเพลียอย่างหนัก มีเลือดปนในปัสสาวะ และอาเจียน เกิดจากความเครียดจากงาน แต่เธอได้รู้ความจริงเกี่ยวกับสภาพของตัวเองในระหว่างการทำงานเวรกลางคืนในฐานะพยาบาล

    เมื่อเล่าถึงประสบการณ์สุดทรมานนี้ เธอกล่าวว่า “สามีและฉันพยายามมีลูกมานานเกือบ 5 ปี และในที่สุดลูกสาวของเราก็เกิดมา แต่ฉันกลับป่วยเกินกว่าจะดูแลเธอได้”

    “ใช้เวลา 2 ปีกว่าที่ฉันจะรู้สึกดีพอที่จะทำสิ่งนั้นได้ ฉันขอขอบคุณสามีและพ่อของฉันที่ก้าวเข้ามาดูแลลูกสาว เมื่อฉันไม่สามารถทำได้”

    การต่อสู้ที่น่าทึ่งของเธอรวมถึงการลดขนาดก้อนเนื้อมะเร็งลง 90% จากการทำเคมีบำบัด และสุดท้ายได้รับการผ่าตัดในสหรัฐอเมริกา

    อย่างไรก็ตาม มาริซซาต้องเผชิญกับความท้าทายเพิ่มเติมเมื่อมะเร็งตับของเธอ ซึ่งรู้จักกันในชื่อ มะเร็งเซลล์ตับ หรือ เฮปาโตเซลลูลาร์ คาร์ซิโนมา (hepatocellular carcinoma) กลับมาเป็นอีกครั้ง คราวนี้แสดงออกมาในรูปของการเจริญเติบโตที่ปอด

    มาริซซา พยาบาลผู้กล้าหาญที่เคยต่อสู้กับภัยคุกคามจากมะเร็ง ได้เอาชนะมันสำเร็จหลังจากที่ปอดของเธอทรุดตัว และมีการตัดเนื้อร้ายหลายจุดออกไป ซึ่งนำไปสู่การฟื้นตัวที่น่าทึ่งของเธอหลังการทำรังสีบำบัด

    ด้วยความรู้สึกจากชัยชนะส่วนตัวและความเชื่อที่ลึกซึ้ง มาริซซา กล่าวว่า “ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงให้ฉันมาที่นี่เพื่ออยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ ในขณะที่พวกเขาผ่านการเดินทางที่คล้ายกัน”

    เธอเสริมว่า “ความเชื่อของฉันมีบทบาทสำคัญในการฟื้นตัว และช่วยให้ฉันผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ ฉันหวังว่าจะเป็นกำลังใจให้กับคนอื่นได้บ้าง”

    ทั้งนี้ มาริซซาคาดว่าแม่ของเธออาจติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของมะเร็งตับ

    ขณะที่ National Health Service (NHS) หรือ ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร เตือนว่า แม้อาการของมะเร็งตับอาจไม่ชัดเจนหรือแยกแยะได้เสมอไป แต่ก็มีสัญญาณที่สำคัญที่ควรสังเกต

    สัญญาณ” มะเร็งตับ” ที่ควรระวัง

    • ตาขาวหรือผิวหนังมีสีเหลือง ซึ่งอาจไม่ชัดเจนในคนผิวสีน้ำตาลหรือผิวดำ (ดีซ่าน) รวมถึงอาจมีอาการคันผิว ปัสสาวะมีสีเข้ม และอุจจาระซีดกว่าปกติ
    • เบื่ออาหารหรือการลดน้ำหนักโดยไม่พยายาม
    • รู้สึกเหนื่อยหรือไม่มีพลังงาน
    • รู้สึกไม่สบายทั่วไป หรือมีอาการคล้ายไข้หวัด
    • ก้อนในด้านขวาของท้อง
    • รู้สึกคลื่นไส้หรืออาเจียน
    • ปวดที่ด้านขวาบนของท้องหรือที่ไหล่ขวา
    • อาการไม่ย่อยอาหาร เช่น รู้สึกอิ่มเร็วมากเมื่อทานอาหาร
    • ท้องบวมอย่างมากที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร
  • ยายวัย 111 ปี บอกไม่มีเคล็ดลับอายุยืน แต่มี “เครื่องดื่ม” เป็นมื้อเช้า ส่วนผสมแค่ 3 อย่าง

    แองเจลินา ตอร์เรส วัลล์โบนา วัย 111 ปี เผยว่าไม่มีเคล็ดลับ ในการมีอายุยืน แต่เธอมีเครื่องดื่มอาหารเช้าที่มีส่วนผสมเพียงสามอย่าง

    แองเจลินา ตอร์เรส วัลล์โบนา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดในสเปน วัย 111 ปี ได้เปิดเผยเคล็ดลับของการมีอายุยืนยาวของเธอ ขณะที่เธอกำลังจะมีอายุครบ 112 ปี เธออาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่ย่านเอย์ซัมเปลในบาร์เซโลนา และอ้างว่าเธอมีสุขภาพแข็งแรงดีมาตลอดชีวิตโดยไม่เคยเจ็บป่วย

    เธอได้รับตำแหน่งบุคคลที่มีอายุมากที่สุดในสเปนหลังการเสียชีวิตของมาเรีย บรันยาส ผู้ซึ่งเคยเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดในโลกด้วยวัย 117 ปีเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว นอกจากนี้ หลังการเสียชีวิตของเปียดัด โลริเอนเต แห่งอารากอน วัย 113 ปีในเดือนพฤศจิกายน แองเจลินาได้ครองตำแหน่งบุคคลที่มีอายุมากที่สุดในสเปน

    แม้เธอจะบอกว่าไม่มี “เคล็ดลับ” ในการมีอายุยืน แต่กิจวัตรประจำวันของเธอรวมถึงการเริ่มวันด้วยอาหารเช้าง่ายๆ ซึ่งประกอบด้วย “น้ำหนึ่งแก้ว ที่มีน้ำมะนาวไม่กี่หยด และน้ำตาลหนึ่งช้อน”

    แม้จะมีข้อกังวลเรื่องสุขภาพเกี่ยวกับน้ำตาล แต่การดื่มน้ำมะนาวก็มีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กจากพืช และช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง นอกจากนี้ แองเจลินายังชอบเดินป่าและพยายาม “สร้างมิตรภาพกับทุกคน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของเธอ

    คนรอบตัวมักเรียกเธอว่า “นางฟ้า” แต่เธอกลับถ่อมตนและตอบว่า “ฉันไม่ใช่นางฟ้า ฉันแค่ชอบเข้ากับคนอื่นได้ดี”

    แองเจลินาเกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2456 ที่เมืองเบลล์วีส์ เป็นลูกคนที่ห้าในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน เธอเผยว่าเธอมักรู้สึกเห็นใจผู้ที่ด้อยโอกาสมากกว่า

    เธอเริ่มต้นอาชีพในฐานะช่างทำเนคไท ก่อนที่จะเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดเสื้อ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนสงครามกลางเมืองสเปน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แองเจลินายอมรับว่าเธอ “ทุกข์ทรมานมาก”

    หลังสงคราม เธอแต่งงานกับโจเซป มาร์ตี และมีลูกสาวชื่อเมอร์เซ่ รวมถึงหลานสองคนคือเจมมาและซาวี และเหลนอีกสามคน ได้แก่ โพล มาร์ก และมาร์ โจอานา เธอแสดงความขอบคุณที่ได้ใช้เวลาคริสต์มาสร่วมกับครอบครัว และกล่าวว่าเหลนของเธอ “หน้าตาดีมาก” พร้อมบอกว่าเธอ “มีความสุขมาก”

    แองเจลินายังเล่าความยินดีที่ได้เห็นการก่อสร้างมหาวิหารซากราดา ฟามีเลีย โดยกล่าวว่า “มันออกมาสวยงาม” เธอสรุปด้วยการสะท้อนถึงชีวิตของเธอว่า “เธอมีเพื่อนสนิทมากมาย” และเธอ “หัวเราะบ่อย” รวมถึง “มีความสุขกับครอบครัวของเธอ”

  • รถติดไฟแดงต้องใส่เกียร์ D หรือ N จึงจะถูกต้อง?

    หากมีความจำเป็นต้องหยุดรถระหว่างติดไฟแดง ผู้ขับขี่ควรเลือกคาเกียร์ D แล้วเหยียบเบรกค้างไว้ หรือผลักเป็นเกียร์ N แทน แบบไหนจึงจะถูกต้อง บทความนี้ Sanook Auto มีคำตอบมาฝากกันครับ

    รถติดไฟแดงควรใส่เกียร์อะไร ถึงจะถูกต้อง?

    คำตอบคือ เกียร์ D หรือเกียร์เดินหน้า เป็นเกียร์ที่ใช้ในการขับขี่ปกติ รถจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยทันทีเมื่อปล่อยเบรก

    ข้อดีของการใส่เกียร์ D ขณะติดไฟแดง

    • สามารถออกตัวได้ทันท่วงทีเมื่อไฟเขียว
    • ไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเกียร์

    ข้อเสียของการใส่เกียร์ D ขณะติดไฟแดง

    • มีโอกาสที่รถจะพุ่งไปชนคันหน้าโดยไม่ตั้งใจ
    • เครื่องยนต์จะกินน้ำมันโดยใช่เหตุ

    ขณะที่เกียร์ N หรือเกียร์ว่าง เป็นเกียร์ที่ใช้สำหรับการหยุดรถเป็นการชั่วคราว ต่างจากเกียร์ P ที่ต้องการจอดโดยไม่มีการขยับรถอีก

    ข้อดีของการใส่เกียร์ N ขณะติดไฟแดง

    • ช่วยป้องกันไม่ให้รถพุ่งไปชนคันหน้า
    • ประหยัดน้ำมันขณะติดไฟแดง เนื่องจากไม่มีการส่งกำลังไปสู่ล้อ

    ข้อเสียของการใส่เกียร์ N ขณะติดไฟแดง

    • เสียเวลาเปลี่ยนเกียร์เมื่อต้องการออกตัว

    กล่าวโดยสรุปนั้น หากหยุดติดไฟแดงเป็นระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 10-20 วินาที สามารถคาเกียร์ D ควบคู่กับการเหยียบเบรกได้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเกียร์ไปมา แต่หากติดไฟแดงนานเกิน 1 นาทีขึ้นไป ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ N พร้อมกับดึงเบรกมือ จะช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ ลดอัตราสิ้นเปลือง และป้องกันไม่ให้รถไหลได้นั่นเอง

  • ยายจัดฉลองหลานครบเดือน เชิญอดีตเพื่อนร่วมงาน 50 คน มาแค่ 1 รู้เหตุผลแล้วหน้าชา

    ยายหัวร้อน จัดงานเลี้ยงฉลองครบเดือนให้หลานชาย เชิญอดีตเพื่อนร่วมงาน 50 คน แต่มีเพียง 1 คนมาร่วมงาน รู้เหตุผลถึงกับหน้าชา

    นางหลี่ วัย 53 ปี อดีตรองผู้อำนวยการบริษัทนำเข้า-ส่งออกแห่งหนึ่งในเมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน ในเดือนมีนาคม ปี 2022 เธอตัดสินใจเกษียณก่อนกำหนด เพื่อใช้เวลาพักผ่อนและดูแลลูกหลาน

    ในตำแหน่งเดิม นางหลี่รับผิดชอบด้านการเงินและการบริหารธุรกิจ ด้วยความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ยาวนาน ทำให้เธอได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมงานและพนักงาน แม้จะเป็นผู้บริหารหญิง แต่สไตล์การทำงานของเธอกลับเด็ดขาดและจริงจัง บางครั้งอาจดูเข้มงวดเกินไป แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความก้าวหน้าของบริษัท

    ในเรื่องส่วนตัว นางหลี่เคยได้รับความช่วยเหลือและความเอาใจใส่อย่างมากจากเพื่อนร่วมงาน ครอบครัวของเธอมีลูกสาว 3 คน ซึ่งแต่งงานแล้วทั้งหมด ทุกครั้งที่มีงานแต่ง เพื่อนร่วมงานมักจะมาร่วมยินดีอย่างพร้อมเพรียง บางคนถึงขั้นสละเวลามาช่วยงานที่บ้านของนางหลี่เอง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอเกษียณ ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป

    ในเดือนเมษายน ปี 2022 ลูกสาวคนโตของนางหลี่ให้กำเนิดหลานชายคนแรก 1 เดือนต่อมา ครอบครัวของนางจึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงฉลองครบเดือนอย่างยิ่งใหญ่ เพื่ออวยพรให้หลานชายมีความสุขและสุขภาพดี นางหลี่เชิญเพื่อนร่วมงานและพนักงานเก่าจำนวน 50 คน มาร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นอย่างอบอุ่น พร้อมทุ่มเงินหลายหมื่นหยวน โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายต่อโต๊ะสูงถึง 3,000 หยวน (ประมาณ 14,000 บาท)

    ในวันงาน ญาติพี่น้องทุกคนมาร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข นางหลี่ให้ลูกหลานยืนเรียงแถวต้อนรับแขก แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีเพื่อนร่วมงานหรือพนักงานคนใดมาร่วมงาน

    ความกังวลเริ่มก่อตัว นางหลี่โทรหาอดีตหัวหน้าฝ่ายธุรการเพื่อสอบถาม ได้รับคำตอบว่าทุกคนติดงานจึงไม่สามารถมาได้ ยกเว้น “จาง” ผู้ช่วยเก่าของเธอที่กำลังเดินทางมา

    เมื่อจางมาถึง เธอถือซองอั่งเปาและดูอึดอัด นางหลี่ถามว่าทำไมจึงมาคนเดียว จางตอบเพียงว่าคนอื่นติดงาน จากนั้นจางก็ขอตัวกลับเร็วเพราะมีงานค้าง

    หลังงานเลี้ยงจบลง นางหลี่เปิดซองของจาง พบเงิน 200 หยวน (ประมาณ 1,000 บาท) ทำให้เธอไม่พอใจ เนื่องจากปกติจางมักใส่ซอง 500 หยวน (ประมาณ 2,300 บาท) นางหลี่รู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเคารพ จึงส่งข้อความตำหนิทุกคนในกลุ่มแชตเก่าของบริษัท

    นางหลี่ยืนยันว่าตนเองได้ทุ่มเททำงานและช่วยเหลือหลายคนมาตลอดความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความสัมพันธ์กับทุกคนเคยราบรื่นดี แต่หลังเกษียณ สิ่งที่เธอได้รับกลับเป็นความเย็นชาและการขาดความเคารพ

    เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งตอบกลับว่า “เราไม่ปฏิเสธสิ่งที่คุณหลี่ได้ทำเพื่อบริษัทและพนักงาน แต่การจัดงานส่วนตัวอย่างงานเลี้ยงครบเดือน ดูไม่เหมาะสมที่จะเชิญทั้งบริษัท ส่วนตัวผมมองว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้เข้าร่วม ขออภัยหากการตัดสินใจนี้ทำให้คุณไม่สบายใจ”

    อีกคนกล่าวว่า “คุณหลี่ ใจเย็นก่อนนะ ทุกคนยุ่งกับงานสำคัญ ไม่มีเวลามาร่วมงานเลี้ยงครบเดือนของหลานคุณ ตอนนี้งานเราก็ลำบาก การเงินไม่มั่นคง งานเลี้ยงที่ไม่จำเป็นแบบนี้เราจึงตัดสินใจไม่ไป”

    เมื่อได้อ่านข้อความเหล่านี้ นางหลี่ถึงกับพูดไม่ออก เธอเริ่มตระหนักถึงความไม่เหมาะสมของตนที่เชิญทุกคนมาร่วมงาน หลังจากนั้น 2 วัน เธอส่งข้อความขอโทษในกลุ่มแชต และออกจากกลุ่มไป

    เหตุการณ์นี้ทำให้นางหลี่รู้สึกเสียใจและสำนึกผิด เธอเข้าใจว่าเพราะยังยึดติดกับความสำเร็จในอดีต จึงทำให้ตัดสินใจและพูดจาที่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่น นับจากนี้เธอตั้งใจจะใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นแม่และยายที่อบอุ่น ใจเย็น และหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและข้อขัดแย้งที่ไม่จำเป็นในชีวิต

  • นักสืบประสบการณ์ 30 ปี เผยที่ยอดฮิต “คนนอกใจ” ชอบนัดพบชู้ คาดไม่ถึงจริงๆ

    นักสืบเอกชนเผยสถานที่ยอดนิยมที่คนมักนัดพบเพื่อคบชู้ พร้อมทั้งวิธีอัจฉริยะในการจับภาพหลักฐานโดยที่คนเหล่านั้นไม่ทันรู้ตัว

    เมื่อคนคบชู้ พวกเขามักใช้วิธีที่แยบยลและแนบเนียน เช่น ใช้โทรศัพท์สำรองติดต่อคนรักลับ หรืออ้างว่าต้อง “ทำงานดึก” เพื่อหาโอกาสแอบนัดพบ แต่สำหรับหลายคน การคบชู้มักเกี่ยวข้องกับการแอบไปสถานที่ลับเพื่อพบคนรัก

    นักสืบเอกชนที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี ได้เปิดเผยสถานที่ยอดนิยมที่คู่สมรสมักนัดพบกับชู้รัก

    ในการออกรายการพอดแคสต์ รันโน นักสืบเอกชนจากคอนเนตทิคัต ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ที่คู่สมรสไม่ซื่อสัตย์ไปนัดพบกับชู้ เขากล่าวว่า “สมมติว่าผมได้รับการว่าจ้างจากภรรยาให้ติดตามสามี เขามักจะไปที่ปั๊มน้ำมันหรือที่ล้างรถ ทุกครั้งที่ล้างรถ”

    เมื่อถามว่าทำไมที่ล้างรถถึงเป็นสถานที่ยอดนิยม? รันโน ตอบว่า “ถ้าผู้ชายจะไปนัดพบคนรัก เขาต้องการรถที่สะอาดดังนั้นถ้าใครไปที่ล้างรถ ผมก็จะคิดว่า ต่อไปคืออะไร แน่นอนว่าทุกครั้ง มันน่าทึ่งจริง ๆ ว่าพวกเขาทำกันได้อย่างไร”

    แล้วสำหรับผู้หญิงที่นอกใจ พวกเธอจะเลือกสถานที่แตกต่างกันหรือไม่? รันโน กล่าวไว้ว่า “ผู้หญิงไม่ค่อยสนใจอะไรมาก พวกเธอแค่กระโดดขึ้นรถของผู้ชายเลย ผู้ชายมักจะอยากขับรถเสมอ มันค่อนข้างหายากที่จะเจอผู้ชายกระโดดขึ้นรถของผู้หญิง มันไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก”

    เมื่อถามว่าจุดนัดพบมักจะอยู่ไกลจากบ้านแค่ไหน รันโน ได้ให้คำตอบที่น่าตกใจว่า “ใกล้มาก บางครั้งก็อยู่บนถนนเดียวกันเลย ผมเคยเจอคนที่นอกใจในถนนเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในเมืองหรือต่างเมืองข้าง ๆ และมันมักจะเกี่ยวข้องกับงานเป็นส่วนใหญ่”

    หากคู่สมรสที่นอกใจพาคนรักไปที่บาร์ รันโน จะตามเข้าไปด้วย เขาอธิบายว่า “ผมต้องใช้เครื่องมือที่นั่น ผมไม่สามารถเดินเข้าไปพร้อมกับไอโฟนแล้วถ่ายวิดีโอได้ ดังนั้นผมจะเดินเข้าไปพร้อมกับพวงกุญแจที่มีเลนส์จุดเล็ก ๆ ผมเปิดมันแล้ววางไว้บนบาร์นั่งดื่มเบียร์ปล่อยให้กล้องทำงานเอง”

    ทั้งนี้ คนที่นอกใจมักมีพฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายเคยเตือนถึงสัญญาณที่บ่งบอกว่าแฟนไม่ซื่อสัตย์ สัญญาณเหล่านี้รวมถึงการปกป้องตัวเองเมื่อถูกถามเกี่ยวกับงาน, หลีกเลี่ยงการสบตา, ความตึงเครียด, การเก็บโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัว และการเดินเร็ว

    อาชีพที่มีโอกาสนอกใจมากที่สุดก็ถูกเปิดเผยเช่นกัน โดยพนักงานขายอยู่ในอันดับต้น ๆ ตามมาด้วยผู้ที่ทำงานในสายการศึกษา

  • วิจัยมานาน 16 ปี พบเครื่องดื่ม 1 ชนิด กินวันละแก้ว ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

    ทีมวิจัยศึกษามานาน 16 ปี พบเครื่องดื่ม 1 ชนิด กินวันละแก้ว ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

    มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ การศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร “Nature Communications” ซึ่งเป็นวารสารย่อยของ “Nature” แสดงให้เห็นว่าหากผู้หญิงบริโภคนม 1 แก้ว (300 มิลลิกรัม) ในแต่ละวัน จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 17%

    การศึกษา 500,000 คนชี้ 3 อาหารเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่

    ทีมวิจัยร่วมจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้คัดเลือกอาสาสมัครจากผู้หญิง 1.3 ล้านคนที่เข้าร่วมโปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมของ NHS และสกอตแลนด์ สุดท้ายคัดเลือกผู้เข้าร่วมการศึกษาได้ 542,778 คน ทีมวิจัยติดตามสุขภาพของอาสาสมัครประมาณ 16.6 ปี และประเมินความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยอาหาร 97 ประเภท กับการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

    ผลวิเคราะห์พบว่า อาหาร 3 ประเภท ได้แก่ แอลกอฮอล์ เนื้อแดง และเนื้อแปรรูป มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่:

    • การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 20 กรัมต่อวัน เพิ่มความเสี่ยง 15%
    • การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปเพิ่มขึ้น 30 กรัมต่อวัน เพิ่มความเสี่ยง 8%
    • หากบริโภคเพิ่ม 100 กรัมต่อวัน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นถึง 29%

    นม 1 แก้วต่อวันช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 17%

    ในทางกลับกัน อาหารที่มีแคลเซียมและผลิตภัณฑ์นมมีความเชื่อมโยงเชิงลบอย่างมากต่อความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ การบริโภคแคลเซียมเพิ่มขึ้น 300 มิลลิกรัมต่อวัน (เทียบเท่านม 1 แก้ว) จะช่วยลดความเสี่ยงได้ 17% การศึกษายังพบว่านมมีความสัมพันธ์ผกผันกับความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งทวารหนัก

    สารอาหารอื่นที่ช่วยลดความเสี่ยง

    สารอาหารในผลิตภัณฑ์นม เช่น โยเกิร์ต วิตามินบี2 (ไรโบฟลาวิน) แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ก็มีความสัมพันธ์เชิงลบต่อความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยการดื่มนมเพิ่ม 200 กรัมต่อวันสามารถลดความเสี่ยงได้ 14% อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เพิ่มเติมชี้ว่าผลป้องกันมะเร็งอาจเชื่อมโยงกับการเสริมแคลเซียมโดยตรง

    แคลเซียมช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อย่างไร

    ดร.เคเรน ปาเปียร์ ผู้เขียนการศึกษากล่าวว่า แคลเซียมอาจช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ด้วยการจับกับกรดน้ำดีและกรดไขมันในลำไส้ใหญ่ เพื่อลดผลกระทบที่ก่อให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้ การศึกษาในหนูพบว่าการเพิ่มแคลเซียมและฟอสฟอรัสในลำไส้ใหญ่ช่วยป้องกันเยื่อบุลำไส้จากความเสียหาย

    แหล่งแคลเซียมสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส

    หากคุณแพ้แลคโตสหรือไม่ดื่มนม ดร.ปาเปียร์แนะนำให้รับประทานผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักกาดเขียว ผักโขม หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง รวมถึง งา อัลมอนด์ ซาร์ดีน และถั่วชนิดต่าง ๆ เพื่อเสริมแคลเซียมที่ร่างกายต้องการ

    การศึกษาครั้งนี้ แม้จะมีจุดแข็งที่ขนาดตัวอย่างใหญ่ แต่ยังจำกัดเฉพาะผู้หญิงเชื้อสายยุโรปในอังกฤษเท่านั้น และยังต้องการการวิจัยที่ครอบคลุมกลุ่มประชากรหลากหลาย เพื่อพัฒนามาตรการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอนาคต

  • เหลือจะเชื่อ! “อาคีฟ” นักมวยต่างชาติใช้ท่า “หิรัญม้วนแผ่นดิน” ดับนักมวยไทย (คลิป)

    ถือเป็นจังหวะปิดเกมสุุดเด็ดขาดของ อาคีฟ กูลูซาดา นักมวยดาวรุ่งจากอาเซอร์ไบจาน ในศึก ONE ลุมพินี 94 ที่สนามมวยเวทีลุมพินี (รามอินทรา) เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 17 มกราคม ที่ผ่านมา

    โดย นักชกวัย 19 ปี ขึ้นสังเวียนพบกับ ผึ้งหลวง บ้านแรมบ้า มวยบู๊เดินสู้ไม่ถอยวัย 25 ปี จากจังหวัดอุบลราชธานี ในกติกามวยไทย (รุ่นฟลายเวต 125-135 ป.)

    phungg2

    เกมการชกเป็นไปอย่างสนุกก่อนที่ในช่วงกลางยก 2 อาคีฟ กูลูซาดา จะมาได้จังหวะจับขาคู่ชกพร้อมทั้งดึงจังหวะหมุนตัวสับศอกเข้าเต็มคางส่ง ผึ้งหลวง หล่นลงไปหลับคาสังเวียน

    ซึ่งท่าดังกล่าวที่ นักมวยดาวรุ่งจากอาเซอร์ไบจาน ใช้นั้นก็คือท่าศอกกลับ หรือชื่อในตำรามวยไทยว่า “หิรัญม้วนแผ่นดิน” ลูกไม้มวยไทยลูกนี้ถือเป็นลูกไม้อันตราย ที่หากคู่ต่อสู้โดนเข้าเต็มๆ โอกาสรอดน้อยมาก

    phungg23

    จากชัยชนะในไฟต์นี้ทำให้ อาคีฟ กูลูซาดา ได้รับโชค 2 เด้ง ทั้งโบนัส 350,000 บาท และสัญญาเข้าเป็นนักกีฬา ONE มูลค่า 3.5 ล้านบาท แบบสุดเซอร์ไพรส์

  • ด.ช. 5 ขวบ ถูกลักพาตัว ไหวพริบดี ตะโกนประโยคเดียว ทำคนร้ายหนีหัวซุกหัวซุน

    ถูกลักพาตัว! เด็กชายวัย 5 ขวบ ไหวพริบดี ตะโกนเพียงประโยคเดียว จนคนร้ายต้องหนีหัวซุกหัวซุน

    สื่อจีนรายงานเหตุการณ์ที่เด็กชายวัย 5 ขวบ ชื่อ “เล่อเล่อ” (นามสมมติ) เกือบตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่าย เมื่อ 2 เดือนก่อน ขณะที่เล่อเล่อเลิกเรียนและกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมคุณย่า

    ระหว่างทางกลับบ้าน เล่อเล่อเห็นคนขายลูกโป่ง และด้วยความอยากรู้จึงวิ่งเข้าไปโดยไม่ทันสังเกตว่าคุณย่าอยู่ด้านหลัง เมื่อคุณย่าหันมาอีกที เล่อเล่อก็หายไปแล้ว

    คุณย่าตกใจมาก รีบโทรแจ้งพ่อแม่ของเล่อเล่อ ครอบครัวช่วยกันออกตามหา แต่ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไร้วี่แวว จนต้องแจ้งตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ

    การช่วยเหลือที่ลุ้นระทึก

    จากกล้องวงจรปิด ตำรวจพบว่าเล่อเล่อตามผู้หญิงขายลูกโป่งไปและขึ้นรถบรรทุกคันเล็ก ตำรวจและครอบครัวจึงแยกกันออกค้นหา โดยมุ่งไปที่สถานีรถไฟและสถานีขนส่ง

    แม้จะค้นหาตลอดทั้งคืนที่สถานีรถไฟ แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของเล่อเล่อ เมื่อความหวังเริ่มริบหรี่ จู่ๆ เล่อเล่อก็ปรากฏตัวต่อหน้าตำรวจ ส่วนผู้หญิงที่ลักพาตัวเขานั้นหนีไปได้ทัน

    หลังจากเหตุการณ์สงบลง เล่อเล่อได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง

    ปรากฏว่า ผู้หญิงคนนั้นหลอกเล่อเล่อด้วยคำพูดว่า “ในรถมีลูกโป่งสวยๆ มากมาย เดี๋ยวป้าจะแจกให้ฟรี” ด้วยความไร้เดียงสา เล่อเล่อจึงตามไปโดยไม่คิดอะไร เมื่อถึงที่หมาย ผู้หญิงคนนั้นก็ผลักเขาขึ้นรถ

    เมื่อไปถึงสถานีรถไฟ เล่อเล่อเริ่มตระหนักว่าเขาตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ แต่แทนที่จะตกใจและร้องขอความช่วยเหลือ เขาเลือกที่จะอดทนและสังเกตสถานการณ์เพื่อรอโอกาส

    ที่ห้องพักผู้โดยสาร เล่อเล่อสังเกตเห็นตำรวจที่กำลังเดินตรวจตราอยู่ เขาอาศัยจังหวะที่ผู้หญิงไม่ทันสังเกต ตะโกนขึ้นว่า “ลุง! ทำไมลุงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

    เสียงเรียกที่คาดไม่ถึงทำให้ผู้หญิงตกใจ เพราะคิดว่าตำรวจคนนั้นเป็นญาติของเล่อเล่อ เธอรีบปล่อยมือและหนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เล่อเล่อได้รับการช่วยเหลือจากตำรวจอย่างปลอดภัย

    เล่ห์กลของขบวนการค้ามนุษย์และบทเรียนสำหรับพ่อแม่

    เรื่องราวของเล่อเล่อสร้างความสะเทือนใจให้หลายคน แต่เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้กลับเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

    ตัวอย่างเช่น เมื่อปีที่แล้วในเมืองเหมยโจว มณฑลกวางตุ้ง เด็กหญิงวัย 4 ขวบถูกชายคนหนึ่งในหมู่บ้านหลอกขึ้นรถด้วยข้ออ้างว่า “ไปซื้อของกันเถอะ” โชคดีที่หลังจากการพยายามอย่างหนักนาน 3 วัน 3 คืน ตำรวจก็ช่วยเหลือเด็กหญิงได้สำเร็จ

    ขบวนการค้ามนุษย์มักใช้กลอุบายที่แยบยล การละเลยเพียงเล็กน้อยของพ่อแม่อาจนำไปสู่ภัยอันตรายสำหรับลูก นี่คือบางเล่ห์กลที่พ่อแม่ควรทราบ

    1. หลอกล่อด้วยของเล่นและขนม
    นี่คือวิธีที่พบได้บ่อยที่สุด คนร้ายมักใช้ของเล่นหรือขนมหวานมาล่อลวงเด็ก เช่น “หนูจ๊ะ ในรถมีของเล่นสวยๆ อีกเยอะเลย มาดูสิ เดี๋ยวพี่ให้” เด็กๆ มักตกหลุมพรางเพราะความอยากรู้อยากเห็นหรือความสนุกสนาน

    2. ใช้เด็กล่อเด็ก
    บางครั้งคนร้ายใช้ลูกของตัวเองเป็นเครื่องมือ หลอกล่อเด็กคนอื่นโดยให้ลูกเข้าไปทำความสนิทสนม แล้วค่อยหลอกพาเด็กไป

    3. สร้างสถานการณ์วุ่นวายและฉวยโอกาส
    บางกลุ่มสร้างสถานการณ์ให้ดูวุ่นวาย เช่น แกล้งทะเลาะกับเด็กเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคนรอบข้าง แล้วรีบฉวยโอกาสลักพาตัวเด็กไป

    คำแนะนำสำคัญเพื่อปกป้องลูก

    1. คอยระวังเมื่อพาลูกออกนอกบ้าน
    พ่อแม่ควรดูแลลูกให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา หากต้องยุ่งอยู่กับบางสิ่ง ให้บอกเด็กว่าอย่าห่างจากที่ที่กำหนดไว้

    2. สอนให้ปฏิเสธคนแปลกหน้า
    บอกลูกว่าอย่ารับของหรือคำชวนจากคนแปลกหน้า คุณอาจสร้าง “รหัสลับ” เพื่อให้ลูกใช้ตรวจสอบว่าเป็นคนรู้จักจริงหรือไม่

    3. สอนให้จำข้อมูลสำคัญ
    สอนลูกให้จำชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ของบ้าน เพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในกรณีฉุกเฉิน

    4. กระตุ้นให้ร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดอันตราย
    บอกลูกว่า หากรู้ตัวว่ากำลังจะถูกลักพาตัว ให้รีบตะโกนดังๆ ว่า “ช่วยหนูด้วย! คนนี้ไม่ใช่พ่อ/แม่ของหนู!” เพื่อทำให้คนร้ายตกใจและดึงดูดความสนใจจากคนรอบข้าง

    5. ใช้เรื่องราวและหนังสือภาพเพื่อการเรียนรู้
    เนื่องจากเด็กเล็กอาจเข้าใจเรื่องราวซับซ้อนได้ยาก พ่อแม่สามารถใช้หนังสือภาพหรือเรื่องเล่าเพื่อช่วยให้ลูกเข้าใจวิธีป้องกันตัว

    การปกป้องลูกเริ่มต้นที่การศึกษา

    ความปลอดภัยของลูกเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง

    แม้ว่าจะไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดเวลา แต่พ่อแม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกผ่านการศึกษาและการปลูกฝังที่ถูกต้อง ดังเช่นเรื่องของเล่อเล่อ ที่แสดงให้เห็นว่า ความฉลาดและความกล้าหาญของเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม สามารถเปลี่ยนสถานการณ์คับขันให้กลายเป็นเรื่องราวที่จบลงอย่างปลอดภัย

    เริ่มต้นการสอนเรื่องความปลอดภัยให้ลูกตั้งแต่วันนี้ เพื่อรักษาความสุขและความเจริญเติบโตของพวกเขา สมบัติที่มีค่าที่สุดในครอบครัว